วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

แผนภูมิวงรอบเหตุและผล (Causal Loop Diagram : CLD)

แผนภูมิวงรอบเหตุและผล
(Causal Loop Diagram : CLD)
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แผนภาพ cld

แผนภูมิวงรอบเหตุและผล CLD จะทำให้มองเห็นความสัมพันธ์  และปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่อาจจะเกิดขึ้นได้ประกอบด้วยหลายองค์ประกอบดังนี้
วงรอบการป้อนกลับ 1 วงรอบ หรือ มากกว่า ซึ่งเป็นทั้งกระบวนการเสริมแรงและกระบวนการสร้างความสมดุล
ความสัมพันธ์ของเหตุและผลกระทบระหว่างตัวแปรต่างๆ
ความหน่วงของเวลา(Delays)คือ มีปัญหา(input)เข้ามา
การวาดปัญหาออกมาเป็นแผนภูมิ จะทำให้มองออกว่า อะไร Must know อะไร Should know
S = Same หรือ + (Positive)
O = Opposite หรือ – (Negative)
R = Reinforcing Loop วงรอบเสริมแรง
B = Balancing Loop วงจรปรับสมดุล
วงรอบเสริมแรงจะขับเคลื่อนเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกัน
“การเขียนผังเชิงระบบ”
(System Diagram/Casual loop)
กำหนด ประเด็นปัญหาหลักให้ชัดเจน (ที่เรื้อรังและเกิดซ้ำ) และสำรวจเรื่องราวเกี่ยวกับปัญหา – อาการของปัญหา และพฤติกรรมที่เกี่ยวข้อง
ระบุ “ตัวแปรที่สำคัญ” ที่เป็นส่วนทำการขับเคลื่อนความเป็นไปของเหตุการณ์  โดยระบุชื่อให้ชัดเจนใช้คำพูดเป็นกลางหรือที่เป็นบวก
ศึกษาพฤติกรรมโดยมองย้อนเวลาถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
เขียนกราฟแสดงพฤติกรรมเทียบกับเวลา (BOT)
ทบทวนความสัมพันธ์ของตัวแปร
วาด ผังเชิงระบบ (System diagram)
         

 “ปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรของวัยรุ่นไทย”





วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

การคิดเชิงระบบด้วย Spider Model

การคิดเชิงระบบด้วย Spider Model

           SPIDER MODEL : เป็นการนำเสนอแนวคิดทางธุรกิจไว้ ใน 1 หน้ ากระดาษ เพื่อให้ เห็นภาพไอเดียธุรกิจที่ชัดเจนและเชื่อมโยงระหว่างปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งพัฒนามาจาก Business Canvas* และ Lean Canvas การนำเสนอภายใต้ กรอบโมเดลนี้จะทำให้ ผู้ประกอบการและนักลงทุนสามารถวิเคราะห์ ภาพรวมของความเป็นไปได้ ทางธุรกิจ โดยวิเคราะห์ตามขั้นตอนในการคิดแบบเชื่อมโยงของปัจจัยต่างๆ ที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจ และสามารถประเมินความเสี่ยงเบื้องต้น คือ
1. Product Risk
2. Customer Risk
3. Market Risk
4. Financial Risk
            รวมถึงการประเมินร่วมกับปัจจัยสนับสนุนและอุปสรรค เพื่อวิเคราะห์ ว่าแนวคิดที่ผู้ประกอบการนำเสนอมีความเป็นไปได้ (Feasibility) ภายใต้ สถานการณ์ ณ ปัจจุบันมากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตามระดับของความเป็นไปได้ ย่อมขึ้นอยู่ กับดุลยพินิจของนักลงทุน แต่ ละคนว่าสามารถรับความเสี่ยงได้ มากน้อยแค่ไหนเทียบกับผลตอบแทนที่ได้ รับโมเดลนี้มีวัตถุประสงค์ ให้ ผู้ประกอบการได้ นำเสนอแนวคิดที่นอกจากจะเห็นภาพไอเดียของตัวธุรกิจแล้วยังครอบคลุม ปัจจัยสำคัญที่ต้องคำนึงถึงอย่างครบถ้วน รวมทั้งช่วยให้ เห็นภาพด้านผลตอบแทนและความเสี่ยงของธุรกิจได้ ชัดเจนยิ่งขึ้นอีกด้วยคำอธิบายตามกรอบ SPIDER MODEL
            สินค้าและบริการ : ประเภทของผลิตภัณฑ์และบริการที่ต้องการนำเสนอ
1. ปัญหาของลูกค้ า (Problem) : เป็นการคิดโดยใช้ ความต้องการของลูกค้าเป็นที่ตั้ง (ที่เรียกว่า Customer Development) โดยระบุปัญหาที่ลูกค้าเจอคืออะไร ผู้ประกอบการจะสามารถวิเคราะห์ได้ ถึงขนาดของตลาดว่าใหญ่ หรือเล็กเพียงใด ได้โดยประมาณการจากจำนวนของลูกค้าที่ต้องเจอกับปัญหาดังกล่าว
2. ทางออกของปัญหา (Solution) : สินค้าของเราสามารถแก้ ปัญหาของลูกค้าได้ อย่างไร เป็นการนำเสนอทางเลือกในการออกจากปัญหาด้วยวิธีการที่แตกต่างจากสินค้าเดิมในตลาด เพื่อให้เข้าถึงโอกาสทางการตลาดและการเติบโตของธุรกิจในอนาคต
3. คุณค่าของสินค้าที่นำเสนอ (Unique Value Proposition) : คุณค่าหลักของสินค้าและบริการที่ต้องการนำเสนอ จะเห็นว่าใช้ คำว่า Unique คือเป็นคุณค่าหลักที่ต้องแตกต่างจากคู่ แข่งหรือสินค้าเดิมในตลาด 4. กลุ่มเป้าหมาย (Target Customer) : การวิเคราะห์กลุ่มลูกค้าของธุรกิจ ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่ยอมควักเงินซื้อสินค้ าและบริการของเรา
5. ช่องทางการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย (Channel) : วิธีการที่จะนำสินค้าให้ เข้าสู่กลุ่มเป้าหมายที่วางไว้ รวมถึงการกระจายสินค้า ซึ่งอาจทำได้หลากหลายวิธี
6. ทรัพยากรหลักที่มี (Key Resource) : ซึ่งเป็นได้ทั้งคน ทรัพย์สิน ทรัพย์สินทางปัญญา เป็นทรัพยากรที่มีและใช้ สร้างความได้ เปรียบด้านการแข่งขันให้ กับธุรกิจได้ หรือเป็นทรัพยากรที่ช่วยสนับสนุนให้ แผนธุรกิจดังกล่าวมีความเป็นไปได้ ลดความเสี่ยงของผู้ประกอบการและนักลงทุน
7. กิจกรรมหลักของธุรกิจ (Key Activities) : เป็นการดำเนินงานหลักของธุรกิจที่จะทำให้ เกิด Unique Value Proposition ในสินค้าและบริการ เรียกได้ ว่าเป็นกิจกรรมที่จะทำให้โมเดลนี้ทำงานก็ว่าได้
8. กระแสรายได้ (Revenue Stream) : ช่ องทางของรายได้ที่เข้ามาให้เห็นความชัดเจนว่าธุรกิจจะมีรายได้ จากช่องทางไหน อย่างไร และเท่าไร
9. ต้นทุน (Cost Structure) : ค่าใช้จ่ายหลักของธุรกิจคืออะไรและเท่าไร ทั้งส่วนที่เป็นต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) และต้นทุนผันแปร (Variable Cost)
10. จุดคุ้มทุน (Break Event) : การประมาณการถึงจุดที่ธุรกิจสามารถทำกำไรได้ เท่ากับต้นทุนที่ลงไป อาจเป็นจำนวนชิ้น หรือเป็นระยะเวลา เพื่อให้ ผู้ประกอบการและนักลงทุนใช้ เป็นแนวทางในการวางแผนด้านการเงินให้ เหมาะสม
11. 4 กรอบสุดท้าย คือการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมของธุรกิจ เพื่อประเมินว่าธุรกิจมีจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคที่ต้องพบอย่างไรบ้าง

โครงการแก้วมังกรกวน เพื่อเพิ่มรายได้